ดวงจันทร์

ดวงจันทร์


ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบสุริยะของเราต่างมีดวงจันทร์เป็นบริวารโดยรอบอย่างน้อย 1 ดวง ซึ่งดวงจันทร์เหล่านี้เป็นวัตถุท้องฟ้าที่เกิดขึ้นจากกระบวนการตามธรรมชาติ แล้วโคจรรอบดาวเคราะห์ หรือดาวเคราะห์แคระ มีเพียงดาวพุธและดาวศุกร์เท่านั้นที่ไม่มีดวงจันทร์ของตนเอง สำหรับเรื่องราวของดวงจันทร์ดวงต่างๆในระบบสุริยะนั้น มีหัวข้อย่อยดังนี้

ดวงจันทร์ของโลก



ดวงจันทร์ เป็นบริวารของโลกเพียงดวงเดียวมีขนาด 3,476 กิโลเมตรโคจรรอบโลกทุก ๆ 27 วัน 8 ชั่วโมง และหมุนรอบตัวเองได้ครบหนึ่งรอบพอดีด้วย ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์ด้านเดียวบนพื้นผิวดวงจันทร์ร้อนมากในบริเวณที่ถูกแสงอาทิตย์ (สูงกว่า 127 องศาเซลเซียส) และเย็นจัดในบริเวณเงามืด (-173 องศาเซลเซียส) ที่พื้นผิวของดวงจันทร์ประกอบด้วยหลุมอุกาบาตมากมายเป็นหมื่นๆ หลุม ตั้งแต่หลุมเล็กไปจนถึงหลุมใหญ่ซึ่งเกิดจากการชนของอุกาบาต ดวงจันทร์มีลักษณะ

คล้ายกับดาวพุธในแง่ของสภาพพื้นผิวและบรรยากาศซึ่งมีสภาพเกือบเป็นสูญญากาศ ปัจจุบันโครงสร้างภายในดวงจันทร์เย็นลงเกือบทั้งดวง จึงไม่ปรากฏการทางธรณีวิทยาใด ๆ เกิดขึ้นที่ผิวดวงจันทร์
ลักษณะดวงจันทร์ของโลก

ดวงจันทร์เป็นบริวารดวงเดียวของโลก  มีพื้นผิวที่เป็นของเข็ง เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตมากมาย      แสงจันทร์ที่เรามองเห็นนั้นเป็นแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากพื้นผิวดวงจันทร์   ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเราจะมองเห็นดวงจันทร์ในลักษณะที่เปลี่ยนไป ตามปริมาณของบริเวณที่ได้รับแสงและบริเวณด้านมืดที่หันหน้า        เข้าหาโลก  เรียกว่า ข้างขึ้นข้างแรม           
แม้ว่าดวงจันทร์จะมีขนาดเล็ก แต่ด้วยการที่มันอยู่ใกล้กับโลกของเรามากกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ        ดวงจันทร์จึงมีอิทธิพลต่อปรากฏการณ์บนโลก  เช่น การเกิดน้ำขึ้นน้ำลง  ซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงระหว่างโลกกับดวงจันทร์  และการเกิดสุริยุปราคา และจันทรุปราคา เป็นต้น         
ดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม จึงเป็นสาเหตุให้พื้นผิวดวงจันทร์เต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตมากมาย   ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก เราสามารถมองเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ได้ด้วยตาเปล่าคือ บริเวณที่เราจินตนาการว่า   เป็นกระต่ายบนดวงจันทร์นั่นเอง     

นอกจากนี้ยังพบว่าหินบนดวงจันทร์มีอายุมากถึง 3
,000  4,600 ล้านปี  ซึ่งเก่าแก่กว่าหินบนพื้นโลกมาก ดังนั้นจึงเป็นหลักฐานที่สำคัญเกี่ยวกับการเกิดของระบบสุริยะในยุคเริ่มแรก





ดวงจันทร์ของโลก 
     
ดวงจันทร์มีความสว่างที่สุดในท้องฟ้ายามราตรี ดวงจันทร์เป็นบริวารดวงเดียวของโลก พื้นผิวดวงจันทร์นั้นแห้งและเยือกเย็น ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองโดยใช้เวลาเท่ากับเวลาในการโคจรรอบโลก ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์เพียงด้านเดียวเสมอ จนกระทั่งปี พ.ศ.2502 เมื่อรัสเซียส่งยานสำรวจอวกาศโคจรรอบดวงจันทร์และถ่ายภาพพื้นผิวดวงจันทร์โดยรอบและส่งกลับมายังโลก ยานอวกาศอะพอลโล 11 เป็นยานลำแรกที่พามนุษย์ไปลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2512   
แสงจันทร์ที่เรามองเห็นนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากพื้นผิวดวงจันทร์ ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเราจะมองเห็น ดวงจันทร์ในลักษณะที่เปลี่ยนไป เรียกว่าเฟสของดวงจันทร์ หรือ ข้างขึ้นข้างแรม ดวงจันทร์ใช้เวลาหมุนรอบตัวเองเท่ากับเวลาในการโคจรรอบโลก คือ 27 วัน 8 ชั่วโมง จึงทำให้ดวงจันทร์หันด้านเดียวเข้าหาโลกตลอดเวลา 




การสำรวจดวงจันทร์ 
        
กาลิเลโอ เป็นบุคคลที่ใช้กล้องโทรทรรศน์สำรวจดวงจันทร์ในปี พ.ศ. 2153 จากจุดเริ่มต้นนั้นมนุษย์ได้มีความพยายามในการส่งยานอวกาศขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์หลายครั้ง เช่น ปี พ.ศ.2502 รัสเซียส่งยานสำรวจอวกาศไปโคจรรอบดวงจันทร์และถ่ายภาพพื้นผิวดวงจันทร์โดยรอบและส่งกลับมายังโลก ยานอวกาศอะพอลโล 11 เป็นยานลำแรกที่พามนุษย์ไปลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2512 



พื้นผิวดวงจันทร์ 
       
พื้นผิวของดวงจันทร์นั้นเต็มไปด้วยหลุมอุกกาบาตมากมายและถูกตั้งชื่อตามนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในอดีต บริเวณที่ราบต่ำบนดวงจันทร์ถูกเรียกว่า มาเร (Mare) ซึ่งในภาษาลาตินแปลว่า ทะเล เราสามารถมองเห็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่และทะเลบนดวงจันทร์ ได้ด้วยตาเปล่าและจินตนาการเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น กระต่ายบนดวงจันทร์ บริเวณเหล่านี้เกิดจากการพุ่งชนของ อุกกาบาตซึ่งเกิดจำนวนบ่อยครั้งมากในอดีตเมื่อเกิดระบบสุริยะขึ้นใหม่ๆ บริเวณมาเรปกคลุมไปด้วยลาวาที่ระเบิดออกมาจากปล่องภูเขาไฟในยุคก่อน 

พื้นผิวดวงจันทร์ 

โครงสร้างภายในของดวงจันทร์ 


จากการศึกษาแผ่นดินไหวบนดวงจันทร์ทำให้เราทราบว่าโครงสร้างภายในของดวงจันทร์นั้นประกอบด้วยแกนกลางที่เป็นของเหลวหรือกึ่งเหลวเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์เท่ากับ 3,476 กิโลเมตร ประมาณ หนึ่งในสี่ของเส้นผ่านศูนย์กลางโลก 
  1)แกนชั้นในที่เป็นของแข็ง ประกอบด้วยเหล็กเป็นส่วนใหญ่ มีอุณหภูมิ 1,500 องศาเซลเซียส มีรัศมีประมาณ 350 กิโลเมตร  
2)แกนชั้นนอก ที่เป็นหินเหลวหรือพลาสติก ประกอบไปด้วยเหล็กเป็นส่วนใหญ่ มีรัศมีประมาณ 500 กิโลเมตร        
3)ชั้นแมนเทิลที่เป็นของแข็ง มีความหนาประมาณ 800 กิโลเมตร        
4) เปลือกนอก มีความหนาประมาณ 60-100 กิโลเมตร เปลือกนอกของดวงจันทร์ด้านใกล้โลกนั้นบางกว่าด้านไกลโลก จึงเกิดหลุมอุกกาบาตและทะเลอยู่มากมาย



หินบนดวงจันทร์ 


       
หินบนดวงจันทร์ส่วนมากจะมีอายุในราว 3,000 – 4,600 ล้านปี ซึ่งถ้าเป็นหินบนพื้นโลกที่มีอายุเก่ากว่า 3,000 ล้านปีจะหาได้ยากมาก ดังนั้นดวงจันทร์จึงเป็นหลักฐานที่ดีถึงประวัติศาสตร์ของระบบสุริยะในยุคแรก ตัวอย่างหินที่พบบน ได้แก่        
1) หินเบรกเซีย (Breccias) เป็นหินที่เป็นเปลือกดวงจันทร์ในยุคแรกที่ถูกหลอมรวมเศษอุกกาบาตที่พุ่งชนพื้นผิวดวงจันทร์        
2) หินบะซอลต์ (Basalt) เกิดจากลาวาเย็นตัว เต็มไปด้วยฟองก๊าซ        
3) หินอะนอร์โทไซต์ (Anorthosite) เป็นชิ้นส่วนของเปลือกดวงจันทร์ในยุคแรก     
ปรากฏการณ์ข้างขึ้น-ข้างแรม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากดวงจันทร์โคจรรอบโลก แล้วทำให้ผู้สังเกตที่อยู่บนโลกมองเห็นแสงที่เกิดจากการสะท้อนจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันไป ดวงจันทร์โคจรรอบตัวเองและหมุนรอบโลกในทิศเดียวกับการหมุนของโลกใช้เวลาประมาณ 27.322 วันต่อรอบ(โดยใช้ดวงจันทร์เป็นกรอบอ้างอิง) ทำให้คนบนโลกมองเห็นเพียงด้านเดียว ขณะที่ดวงจันทร์หมุนรอบโลก โลกเองก็หมุนรอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกัน เมื่อดวงจันทร์โคจรครบ 1 รอบโลกก็จะมีการเปลี่ยนตำแหน่งทำให้ดวงอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งไปจากเดิมด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นดวงจันทร์จึงโคจรครบ 1รอบจึงใช้เวลา 29.5 วัน (โดยใช้เป็นกรอบอ้างอิง) การโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น ข้างขึ้น ข้างแรม น้ำขึ้นน้ำลง สุริยุปราคา และจันทรุปราคา

ข้อมูลจำเพาะของดวงจันทร์
 มวล  0.073 x 1024 กิโลกรัม
 เส้นผ่านศูนย์กลาง  3,475 กิโลเมตร
 ความหนาแน่น  3,340 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
 แรงโน้มถ่วง  1.6 เมตร/วินาที2
 ความยาวนานของเวลา 1 วัน  708.7 ชั่วโมง
 ระยะห่างจากดวงอาทิตย์เฉลี่ย  0.384 x 106 กิโลเมตร
 ระยะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดบนวงโคจร  0.363 x 106 กิโลเมตร
 ระยะไกลดวงอาทิตย์ที่สุดบนวงโคจร  0.406 x 10กิโลเมตร
 คาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 27.3 วัน
 ความเร็วโคจร  1.0 กิโลเมตร/วินาที
 ระนาบวงโคจรเมื่อเทียบกับระนาบที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์  5.1 องศา
 ความรีของวงโคจร  0.055
 ความเอียงของแกนหมุน  6.7 องศา
 อุณหภูมิเฉลี่ย  -20 องศาเซลเซียส
 ความดันบรรยากาศพื้นผิว  0 บาร์
 ระบบวงแหวน  ไม่มี
 สนามแม่เหล็ก  ไม่มี


ดวงจันทร์ของดาวอังคาร



ดาวอังคารมีบริวารขนาดเล็ก 2 ดวง มีชื่อว่า โฟบอส (Phobos)  และดีมอส (Demos) ดวงจันทร์ทั้งสองดวงมีรูปร่างไม่สมมาตร และมีขนาดเล็กกว่า 25 กิโลเมตร นักดาราศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า อาจเป็นวัตถุในแถบดาวเคราะห์น้อยที่ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวอังคาร ดึงดูดให้โคจรรอบ 

( จากรูป ซ้าย ดวงจันทร์โฟบอส ขวา ดวงจันทร์ ดีมอส  )


ดวงจันทร์โฟบอส (Phobos) 
  เป็นบริวารดวงใหญ่สุดของดาวอังคาร มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยประมาณ 22 กิโลเมตร   โคจรอยู่วงในสุด ห่างจากจุดศูนย์กลางของดาวอังคาร 9,378 กิโลเมตร หรือ เพียง 6,000 กิโลเมตรจากผิวดาวอังคาร นับเป็นบริวารที่มีวงโคจรใกล้ดาวแม่มากที่สุดในระบบสุริยะ มีมวล 10.80 ล้านล้านตัน ขนาดโดยเฉลี่ย 22.20 กิโลเมตร (27 x 21.6 x 18.8 กิโลเมตร) โฟบอสมีหลุมขนาดใหญ่ ชื่อว่า สติ๊กนี (Stickney) 


ดวงจันทร์ดีมอส (Demos)
 เป็นดาวบริวารขนาดเล็กวงนอกของดาวอังคาร  มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยประมาณ 12 กิโลเมตร    และเป็นดาวบริวารที่เล็กที่สุดในระบบสุริยะ มีมวล 1.80 ล้านล้านตัน ขนาดเฉลี่ย 12.60 กิโลเมตร (15 x 12.2 x 11 กิโลเมตร) 




ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี



ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์บริวารทั้งหมด 39 ดวง แต่มีเพียง 4 ดวงที่ใหญ่พอที่จะสังเกตได้ด้วยกล้องดูดาวขนาดเล็กหรือด้วยกล้องสองตา กาลิเลโอเป็นผู้ค้นพบดวงจันทร์ 4 ดวงนี้ จึงเรียกว่า ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ (Gallilean Satellites)        
1) ไอโอ (Io) 

พื้นผิวของดวงจันทร์ไอโอมีอายุน้อยมากและมีหลุมอุกกาบาตอยู่ไม่มากนักซึ่งแตกต่างจากดวงจันทร์บริวารดวงอื่นๆ ไอโอเป็นดวงจันทร์ดวงเดียวที่พบว่ามีภูเขาไฟที่กำลังคุกรุ่นอยู่        
2) ยุโรปา (Europa)
ดวงจันทร์ยุโรปามีพื้นผิวที่มีอายุน้อยและมีหลุมอุกกาบาตน้อยเช่นเดียวกับไอโอ แต่มีลักษณะที่แตกต่างออกไปคือ มีพื้นผิวที่เป็นน้ำแข็ง คล้ายกับทะเลน้ำแข็งบนโลก

3) แกนีมีด (Ganymede)

แกนีมีดเป็นดวงจันทร์บริวารที่ใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ แต่มีมวลเพียงครึ่งหนึ่งของดาวพุธ     

4) คัลลิสโต (Callisto) 

ดวงจันทร์คัลลิสโตมีขนาดเล็กกว่าดาวพุธเล็กน้อย แต่มีมวลเพียง 1 ใน 3 ของดาวพุธ คัลลิสโตเป็นดวงจันทร์ที่มีพื้นผิวที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดและมีหลุมอุกกาบาตมากที่สุดในระบบสุริยะ



ภาพดวงจันทร์ไอโอ โดยMichael Benson ศิลปินในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้ใช้ความสามารถทางด้านศิลปะ บวกกับข้อมูลความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ สร้างภาพดาวไอโอ ดาวบริวารของดาวพฤหัสบดีดวงนี้ขึ้นมา ซึ่งดาวไอโอนั้น เป็นดาวบริวารของดาวพฤหัสบดี ถูกค้นพบโดยกาลิเลโอ กาลิเลอี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 1610 ตั้งชื่อตาม ไอโอ นักบวชของเฮรา ที่ตกเป็นภรรยาของซูส เป็นดาวที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3,642 กิโลเมตร เป็นดาวบริวารขนาดใหญ่อันดับสี่ในระบบสุริยะ พื้นผิวดาวบริวารมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับมากกว่า 400 ลูก ซึ่งยังปะทุซัลเฟอร์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ออกมาเป็นครั้งคราว

ภาพดวงจันทร์ยุโรปา

ดวงจันทร์ของดาวเสาร์



ดาวเสาร์มีดวงจันทร์บริวาร 53 ดวง
ดวงจันทร์บริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ ไททัน (Titan) ที่มีขนาดใหญ่กว่าดาวพุธ  ไททันมีชั้นบรรยากาศที่ประกอบไปด้วยก๊าซไนโตรเจนเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาจมีสภาพที่คล้ายกับโลกในอดีต การศึกษาบรรยากาศของดาวไททันโดยละเอียดอาจทำให้เราทราบถึงความเป็นมาของโลกได้ดีขึ้น
 ดวงจันทร์บริวารที่มีขนาดใหญ่รองลงไปจากไททันได้แก่  รี (Rhea)  ดิโอนี (Dione) ไออาเพตุส (Iapetus) เททิส (Tethys) เอนเซลาดุส (Enceladus) และมิมาส (Mimas)  ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ดวงจันทร์เหล่านี้มีความหนาแน่นน้อยกว่า 1,400 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทำให้เราสามารถสันนิษฐานได้ว่าดวงจันทร์เหล่านี้มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็งและมีหินผสมอยู่เพียงเล็กน้อย
ภาพดวงจันทร์เอนเซลาดัส เป็นดาวบริวารขนาดใหญ่อันดับที่ 6 ของดาวเสาร์ ค้นพบโดย 
   นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ-เยอรมันนามว่า วิลเลียม เฮอร์เชล เมื่อปี 1789 นักดาราศาสตร์คาดว่าดวงจันทร์ดวงนี้อาจมีน้ำในสถานะของเหลวใต้แผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมผิวดาว บริเวณขั้วใต้ของดาวยังปรากฏภูเขาไฟน้ำแข็ง (cryovolcano) พ่นอนุภาคน้ำแข็งขนาดเล็กขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งอนุภาคบางส่วนตกกลับสู่พื้นผิวดวงจันทร์ในรูปของหิมะ  โดยในภาพแสดงร่องน้ำขนาดใหญ่บนดวงจันทร์เอนเซลาดัส  ถ่ายภาพโดยยานสำรวจอวกาศแคสซีนี–ไฮเกนส์ และได้พบหลักฐานว่ามีมหาสมุทรขนาดใหญ่อยู่ใต้พื้นผิวของดวงจันทร์เอนดังภาพซลาดัดส





ภาพดวงจันทร์เอนเซลาดัส


ภาพดวงจันทร์ไททัน ของดาวเสาร์  ซึ่งเป็นดาวบริวารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ดังภาพ






    ภาพทะเลสาบบนดวงจันทร์ไททัน ของดาวเสาร์ จากภาพเผยให้เห็นว่าทะเลสาบบนดวงจันทร์ไททันนั้นประกอบไปด้วยก๊าซมีเทนบริสุทธิ์    ดวงจันทร์ไททันเป็นวัตถุเพียงชนิดเดียวนอกจากโลกที่มีการค้นพบว่ามีร่องรอยของน้ำอยู่บนดาว ไททันมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่าดาวบริวารของโลกประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ และมีมวลมากกว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ดังภาพ






ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัส


    ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์บริวารรวมทั้งสิ้น 21 ดวง ชื่อของดวงจันทร์บริวารมิได้ถูกตั้งตามเทพนิยายกรีก หากแต่ตั้งตามตัวละครในบทประพันธ์ของเช็คสเปียร์และอเล็กซานเดอร์ โป๊ป
 มิรันดา (Miranda) เป็นดวงจันทร์ที่น่าสนใจมากที่สุดของดาวยูเรนัส ดังจะเห็นได้ในภาพที่ถ่ายจากยานอวกาศวอยเอเจอร์ 2 ในปี พ.ศ. 2529 ดวงจันทร์มิรันดามีเส้นผ่านศูนย์กลาง 484 กิโลเมตร (ประมาณหนึ่งในเจ็ดของดวงจันทร์ของโลก)   มีขนาดวงโคจรรอบดาวยูเรนัส 129,800 กิโลเมตร พื้นผิวที่ขรุขระของดวงจันทร์มิรันดาไม่ได้เป็นเพียงหลุมอุกกาบาตเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยภูเขาและหุบเหวต่างๆ ลักษณะทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าพื้นผิวดวงจันทร์มิรันดา มีการเคลื่อนตัวคล้ายกับการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกนอกจากนี้ยังมีดวงจันทร์บริวารหลักที่สำคัญอีกสี่ดวงคือ แอเรียล (Ariel) อัมเบรียล (Umbriel) ไททาเนีย (Titania) และโอเบรอน (Oberon)
 ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกค้นพบ เมื่อปี พ.ศ. 2324 (ค.ศ.1781) โดย William Herschel ชาวอังกฤษ เป็นดาวเคราะห์ ที่มีวงแหวนคล้ายดาวเสาร์ แต่ค่อนข้างจางมาก และเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียว ในระบบสุริยะจักรวาล ที่หมุนรอบตัวเอง โดยทิศตั้งฉาก กับแนวการเคลื่อนที่ รอบดวงอาทิตย์ 
  ดาวเคราะห์ชั้นนอกดวงต่อไปถัดจากดาวเสาร์ได้แก่ดาวยูเรนัส ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นที่สามในระบบสุริยะ มันมีลักษณะเลือนลาง จะต้องมองดูด้วยกล้องโทรทัศน์เท่านั้นจึงสามารถมองเห็น เราเคยคิดว่ามันเป็นดาวฤกษ์ ในปี 1781 William Herschel ได้ใช้กล้องโทรทัศน์ค้นพบว่า ดาวยูเรนัสเป็นดาวเคราะห์ เขาเห็นแผ่นกลมสีเขียวที่ไม่มีรอย ต่อมา นักดาราศาสตร์ได้พบดาวบริวารห้าดวง ในปี 1977 ได้มีการพบวงแหวนของดาวยูเรนัส ถึงแม้ว่านักดาราศาสตร์จะใช้กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่สุด แต่เขาก็ยังไม่สามารถค้นหาอะไรได้มากมายนักเกี่ยวกับดาวยูเรนัสเอง ในปี 1986 ยานอวกาศวอยาเจอร์2 ได้บินผ่านดาวยูเรนัสและได้ส่งภาพที่ชัดเจนของดาวยูเรนัส และวงแหวนตลอดจนดาวบริวารของมันกลับมายังพื้นโลก ในที่สุดเราก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับดาวยูเรนัส 




ดวงจันทร์ของดาวเนปจูน


    ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวารอยู่ 13 ดวง ภาพถ่ายจากยานวอยเอเจอร์แสดงให้เห็นลักษณะของดวงจันทร์บริวารหลักคือ ดวงจันทร์ทริทัน (Triton) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาบริวารทั้ง 13 ดวง ทริทันโคจรรอบดาวเนปจูนสวนทางกับทิศทางการหมุนรอบตัวเองของดาวเนปจูน และคาดว่ามันจะโคจรเข้าใกล้ดาวเนปจูนขึ้นเรื่อยๆ และพุ่งเข้าชนดาวเนปจูนในที่สุด (ใช้เวลาประมาณ 10 ถึง 100 ล้านปี) เมื่อถึงวันนั้นดาวเนปจูนอาจมีวงแหวนที่ใหญ่และสวยงามมากกว่าดาวเสาร์อีกด้วย ทริทันมีอุณภูมิที่พื้นผิวประมาณ –235 องศาเซลเซียส ถึงแม้ว่าจะมีอุณภูมิต่ำถึงเพียงนี้ ก็ยังพบไนโตรเจนในรูปของก๊าซพุ่งออกจากบริเวณขั้วใต้ของดาว ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากไนโตรเจนแข็งที่ปกคลุมอยู่บริเวณขั้วใต้ของดาวเกิดการระเหิดเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้นในฤดูร้อน
 ดาวเนปจูนเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกค้นพบ เมื่อปี พ.ศ. 2389 (ค.ศ.1846) โดย Johann Galle และ Heinrich D'Arrest เป็นดาวเคราะห์ ที่ไกลที่สุด ที่มีการส่งยานไปสำรวจ (โดย Voyager) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดว่า อาจมีมหาสมุทร ขนาดมหึมา ปกคลุมผิวดาวดวงนี้อยู่
    เมื่อดาวเนปจูนถูกค้นพบ คนได้วันเส้นทางของมันผ่านอวกาศ การหมุนรอบของดาวเนปจูนมีลักษณะผิดปกติบางคนคิดว่าจะต้องมีดาวเคราะห์ดวงใหญ่อีกดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ที่ไม่เป็นที่รู้จักอาจอยู่ถัดจากดาวเนปจูน แรงโน้มถ่วงของมันอาจจะดึงไปที่ดาวเนปจูนจึงทำให้การหมุนของมันเปลี่ยนแปลง ในปี 1845 นักดาราศาสตร์สองคนที่ทำงานคนละที่ในอังกฤษและฝรั่งเศสรู้ว่าดาวเคราะห์ดวงใหม่อยู่ที่ใหน ทั้งสองมีความเห็นตรงกัน คนอื่นๆก็เริ่มลงมือศึกษาดาวเคราะห์ดวงใหม่นี้ ในปี 1846 ชาวเยอรมันชื่อ Johann Galle ได้พบโลกใหม่ด้วยกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่ มันอยู่ในตำแหน่งที่นักดาราศาสตร์คนอื่นได้ระบุไว้ก่อนแล้ว ดาวเคราะห์ดวงใหม่มีสีน้ำเงินมีชื่อว่าดาวเนปจูนตามชื่อเทพเจ้าแห่งทะเลโรมัน
    ดาวเนปจูนโตเกือบเท่าดาวยูเรนัส มันเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ในระบบสุริยะ มันอยู่ห่างไกลจากโลกมาก จึงทำให้มองเห็นสลัวมาก ดาวเนปจูนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องสองตา มันดูคล้ายกับดาวฤกษ์ ยังไม่มียานอวกาศที่เคยไปยังดาวเนปจูน สิ่งที่เรารู้ทั้งหมดก็คือ ดาวเคราะห์ดวงนี้มองเห็นจากโลก ก็เหมือนกับดาวยูเรนัส มีมหาสมุทร น้ำที่ลึกล้อมรอบแกนหินซึ่งอยู่ใจกลางของดาวเนปจูน บรรยากาศของดาวเนปจูนไม่เต็มไปด้วยหมอกเหมือนกับดาวยูเรนัส กล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่แสดงให้เห็นแถบกลุ่มควันขาวที่หมุนรอบดาวเนปจูน บรรยากาศจะเย็นมาก กลุ่มควันประกอบด้วยมีเทนที่แข็ง บางครั้งกลุ่มควันเหล่านี้จะกระจายออกและปกคลุมดาวเนปจูนทั้งดวง อาจมีลมพัดจัดบนดาวเนปจูน ลมเกิดจากอากาศร้อนที่ลอยขึ้น ลมเย็นพัดเข้าไปแทนที่ บนดาวเนปจูน ความร้อนต้องมาจากภายในเพื่อทำให้ลมพัด ในเดือนสิงหาคม ปี 1989 ยานวอเยเจอร์ 2 ได้ไปถึงดาวเนปจูน มันบินผ่านและส่งภาพและการวัดกลับมายังพื้นโลกเราคงมีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับดาวเนปจูน ต่อจากนั้น ยานวอเยเจอร์ 2 จะบินออกจากระบบสุริยะตั้งแต่ได้ออกจากโลกไปในปี 1977 ยานอวกาศจะบินผ่านดาวเคราะห์ชั้นนอกสี่ดวง ยังไม่มียานลำใดที่ได้ไปยังดาวเคราะห์ต่างๆมากเหมือนยานวอยาเจอร์
ส่วนโค้งและดาวบริวารของดาวเนปจูน 
     หลังจากที่ได้มีการค้นพบว่า ดาวยูเรนัสมีวงแหวน คนเริ่มมองหาวงแหวนรอบๆดาวเนปจูนเขาใช้กล้องโทรทัศน์มองดูดาวเนปจูนเมื่อมันเคลื่อนใกล้ดาวฤกษ์ ถ้าดาวเนปจูนมีวงแหวนมันก็จะผ่านด้านหน้าของดาวฤกษ์ วงแหวนแต่ละวงจะตัดแสงของดาวฤกษ์ชั่วขณะหนึ่ง ในปี 1981 นักคณิตศาสตร์คนหนึ่งได้เห็นการลิบหรื่ของดาวฤกษ์ ตั้งแต่นั้น คนบางคนได้เห็นการลิบหรื่แต่บางคนไม่เห็นอะไรเลย บางมีดาวเนปจูนอาจมีวงแหวนที่เป็นชิ้นส่วนที่แตกออกเป็นชิ้นๆมันอาจมีส่วนโค้งสั้นๆ แทนที่จะเห็นวงแหวนทั้งวง ส่วนโค้งจะหมุนรอบดาวเนปจูน
      ดาวเนปจูน เป็นดาวเคราะห์ดวงที่แปดในระบบสุริยะของเรา ดาวเนปจูนมีอีกชื่อในภาษาไทยว่า ดาวสมุทร
      อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 4,500 ล้านกิโลเมตร ใช้เวลาในการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์นานถึง 165 ปีของโลก
การค้นพบดาวเนปจูนเป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ นั่นคือหลังจากที่เราค้นพบดาวยูเรนัสแล้ว นักวิทยาศาสตร์พบว่าการโคจรของดาวยูเรนัสมีความคลาดเคลื่อนไปจากกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน โดยที่ จอห์นคอช อดัมส์ และ เลอ เวอร์ริเยร์ ได้ทำการทำนาย(แยกกัน) ว่ามีวัตถุอยู่ในอวกาศถัดวงโคจรของยูเรนัสออกไป และต่อมา โจฮันน์ เกลล์ และ เฮนริช หลุยส์ เดอ อาเรสต์ ก็ได้สังเกตพบดาวเนปจูนเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2389 ในตำแหน่งใกล้เคียงกับคำทำนาย
ภาพพื้นผิวดาวเนปจูนที่เต็มไปด้วยพายุ เมฆ(สีขาว)ที่อยู่เป็นกระจุกยาวเหยียดพัดผ่านพื้นผิวของดาวเนปจูนด้วยความเร็วสูง กระแสลมที่มีความเร็วสูงสุดเท่าที่พบบนดาวเคราะห์ในระบบสุริยะใกล้จุดมืดใหญ่ (Great Dark Spot) บริเวณสีดำ กระแสลมพัดเร็วถึง 2,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมฆก้อนหนึ่งจัดผ่านดาวเนปจูนทุกๆ 16 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์เรียกเมฆนี้ว่า สกูตเตอร์ เพราะเคลื่อนที่เร็วเหมือนสกูตเตอร์

ดวงจันทร์ของดาวเนปจูน 

ดวงจันทร์ ไตรตัน (Triton) ดาวบริวารดวงใหญ่สุดของเนปจูน ไตรตันมีขนาดเท่าๆกับดวงจันทร์ของโลก มีพื้นผิวเป็นน้ำแข็งซึ่งมีริ้วรอยเป็นภูเขาสูง มีร่องลึกและหลุมบ่อ เป็นสถานที่ซึ่งวัดอุณหภูมิได้ต่ำถึง -235 องศาเซลเซียสจึง นับว่าเย็นที่สุดในระบบสุริยะ จากยายวอยเอเจอร์ 2 พบว่าบนพื้นผิวหลายแห่งที่มีควันของก๊าซ น้ำแข็งและฝุ่นพุ่งขึ้นมาจากใต้ผิวขึ้นไปสูง 8 กิโลเมตร กระแสลมที่พัดในบรรยากาศอันเบาบางที่ประกอบด้วย ไนโตรเจนพัดควันบนไตรตันให้เบนเป็นทางสีดำอันยาวเหยียด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น